จิบอินเดียผ่านเลนส์

การเดินทางท่องเที่ยวในระยะเวลาอันสั้นเพียงไม่กี่วัน เปรียบเหมือนการจิบน้ำชาที่แม้ว่าจะลิ้มรสเพียงเล็กน้อย แต่ก็ทำให้ผู้จิบชานั้น ได้ดื่มด่ำกับสุนทรียะแห่งการดื่มชาอย่างเต็มที่ การเดินทางท่องเที่ยวอินเดียในครั้งนี้ก็เช่นกัน แม้ว่าฉันจะใช้เวลาส่วนใหญ่เฝ้ามองสภาพความเป็นอยู่ของชาวอินเดียผ่านกระจกรถ แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้ได้เรียนรู้รสชาติแห่งชีวิต และถ่ายทอดความเป็นอินเดียผ่านตัวหนังสือและเลนส์

ชะตาฟ้าลิขิต ให้ไปทริปแสวงบุญ

หนูไม่เคยคิดจะไปอินเดียเลยในชาตินี้

ฉันยืนกรานกับทุกคนตอนที่คุณน้าสุดที่รักชวนไปเที่ยวอินเดีย เนปาลด้วยกัน ด้วยความที่เป็นคนติดสุขนิยม ในหัวฉันคิดไปไกลแล้วว่าจะลำบากแค่ไหนถ้าต้องไปอินเดียจริง ๆ ก็แหม อ่านรีวิวและฟังประสบการณ์ของคนที่เคยไปมาแล้ว ก็ไม่อยากจะนึกว่าชีวิตน้อย ๆ ของฉันจะเป็นอย่างไร ใครอยากจะจ่ายเงินราคาหลายหมื่นเพื่อให้ตัวเองลำบากล่ะ แม้ว่าทุกคนพร้อมใจจะเป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ก็ตาม แถมทัวร์ครั้งนี้ก็ไม่ได้ไปเที่ยวธรรมดา เป็นทริปแสวงบุญเชียวนะ เพราะน้าพาไปทัวร์กับคณะอาจารย์และศิษย์ที่มหามกุฎราชวิทยาลัย มหาวิทยาลัยสงฆ์ที่น้าไปเป็นอาจารย์พิเศษอยู่ คืออยากจะบอกว่า แม้ว่าฉันจะไม่ใช่สายบาป แต่ก็ไม่ได้สายบุญอะไรขนาดนั้น

หลังจากนั้น สารพัดเหตุผลก็พรั่งพรูออกมาจากปากน้าและแม่ “หนูเกิดปีมะเส็ง ควรไปกราบพุทธคยานะ” “ครั้งหนึ่งในชีวิตควรไปนมัสการ 4 สังเวชนียสถาน” “ถ้าไม่ไปกับน้าคราวนี้ อยากไปอีกจะไม่มีคนไปเป็นเพื่อนนะ” “หลายคนอยากไปแต่ไม่มีโอกาสได้ไปนะ” “หนูมีโอกาสตามรอยบาทพระศาสดาทำไมไม่ไปล่ะ” มารู้ตัวอีกทีก็มีวีซ่าอินเดียอยู่ในมือแล้ว

“ก็คงต้องไปสินะ” ฉันคิดในใจ เอาวะเป็นไงเป็นกัน สมัยละอ่อนยังเคยไปค่าย นอนโรงเรียน นอนวัดมาแล้ว พออายุมากขึ้นทำเป็นดัดจริตไม่อยากไป ปกติฉันไม่ค่อยได้เตรียมตัวก่อนเดินทางเท่าไหร่ แต่ครั้งนี้ฉันทั้งทำ check list ของที่จะเอาไป เตรียมทั้งของกินของใช้ หยูกยาสารพัด ตะเวนหาซื้ออุปกรณ์อะไรก็ได้ที่จะทำให้ชีวิตการเดินทางครั้งนี้สบายขึ้น แต่ความวุ่นวายยังไม่จบแค่นั้น เพราะทุกอย่างพร้อมแต่คนไม่พร้อม !!! งานที่ต้องเคลียร์ให้เรียบร้อยก่อนเดินทางเยอะมาก ไม่เคลียร์ให้เสร็จก็ไม่ได้ เพราะไม่อยากผลักภาระให้ใคร เดี๋ยวจะกลายเป็นไปทำบุญแล้วได้บาปเพราะคนเขาด่าลับหลัง เท่านั้นยังไม่พอ ฉันยังเป็นไข้หวัดใหญ่ก่อนเดินทาง 2 อาทิตย์ คุณหมอบอกว่าหายทันแน่นอน แต่พอเอาเข้าจริงวันเดินทางฉันยังไออยู่เลย ยิ่งทำให้กังวลกับการเดินทางครั้งนี้เข้าไปอีก

พอถึงวันเดินทาง ฉันไปทำงานตามปกติเพื่อเคลียร์งานก่อนที่จะหายไปเที่ยวอินเดีย 10 วัน ตกเย็นขณะที่ฉันเดินทางกลับบ้านเพื่อเตรียมตัวไปสนามบิน ก็มีแต่คนโทรมาหาด้วยความเป็นห่วงเพราะวันนั้นตอนบ่ายแก่ๆ อินเดียยิงกับปากีสถานเป็นข่าวดังทั่วโลกว่าอินเดียปิดน่านฟ้า ปิดสนามบินหลายแห่ง เครื่องบินยกเลิกเที่ยวบินเพียบ แล้วเพื่อนก็ถามว่าหนูจะไปจริง ๆ เหรอ ทัวร์ยกเลิกมั้ย พอโทรไปถามน้า น้าบอกไปได้เพราะสถานที่เราจะไปเที่ยวอยู่ไกลจากที่เขายิงกัน และสายการบินไม่ยกเลิกเพราะเป็นสายการบินสัญชาติอินเดีย ตึ่ง!!! เอาเข้าแล้วไง จะรอดมั้ยเนี่ย ได้ฝึกปลงชีวิตตั้งแต่ก่อนเดินทางเลยทีเดียว แล้วเพื่อนๆ ก็บอกว่าไม่เป็นไรหรอกหนู “มารไม่มีบารมีไม่บังเกิด” หนูจะไปทำบุญครั้งใหญ่ พญามารก็เลยทดสอบความตั้งใจหน่อย เธออยากประกาศให้โลกรู้เองว่าเธอไม่อยากไปอินเดียนี่ ท่านเลยจัดชุดใหญ่ให้

ฉันเข้าใจนะที่เพื่อนปลอบ แต่มันใช่เหรอ???
ณ ตอนนั้น รู้สึกเหมือนมีเพลงดังแว่วเข้ามาในหัวว่า

ในสมองว่าให้เลิกไป แต่ลึกๆ หัวใจต้องการ แล้วฉันจะยืนอยู่ที่ตรงไหน กลับตัวก็ไม่ได้ ให้เดินต่อไปก็ไปไม่ถึง…

วิถีชีวิต Incredible India

ฉันได้ยินคำว่า “Incredible India” ครั้งแรกจากสโลแกนการท่องเที่ยวของอินเดีย ตอนนั้นก็คิดว่า ช่างคิดเนอะ เกินจริงไปหรือเปล่า อะไรจะเหลือเชื่อขนาดนั้น มาเห็นคำนี้อีกทีจากท้ายรถบรรทุกของอินเดียที่จอดรอให้วัวข้ามถนนอยู่ข้างๆ รถบัสที่ฉันนั่ง แล้วฉันก็เห็นด้วยเลยว่า ไม่มีคำไหนเหมาะสมกับอินเดียมากกว่าคำว่า “Incredible” อีกแล้ว

ธรรมชาติ วิถีชีวิต และวัฒนธรรม ฉันคิดว่าสามสิ่งนี้ทำให้อินเดียเป็นประเทศที่น่าเหลือเชื่อ เมื่อฉันมาถึงอินเดียแล้ว ฉันรู้สึกเหมือนหลงเข้ามาในดินแดนลึกลับ หลุดเข้าไปในหนังย้อนยุค ตื่นตาตื่นใจไปกับสิ่งที่พบเห็นสองข้างทางตลอดการเดินทาง ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมประเทศอินเดียจึงเป็นประเทศปลายทางที่นักเดินทางและช่างภาพชอบมาท่องเที่ยวกัน เพราะเมื่อเราเปิดใจพร้อมเดินทาง และพร้อมเผชิญสถานการณ์ที่ไม่สามารถคาดเดาได้ระหว่างการเดินทาง เราจะได้เห็น ความงามของธรรมชาติ วิถีชีวิต และวัฒนธรรมที่ซุกซ่อนอยู่ ซึ่งเป็นดั่งมนต์สะกดให้ทุกคนอยากเดินทางกลับไปอินเดียอีกครั้ง ส่วนฉัน เอาเข้าจริงก็อยากจะกลับไปอินเดียอีกครั้งนะ แต่ขอเวลาทำใจอีกนิด เพราะยังเข็ดจากการนั่งรถนาน ๆ และการเข้าห้องน้ำกลางทุ่งอยู่เลย

มาลองดูกันว่าในความคิดของฉันอินเดียเหลือเชื่อในมุมไหนบ้าง?

Incredible อาหารสมอง

สิ่งหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นว่าคนอินเดียเป็นคนใฝ่รู้ และเป็นภาพที่ฉันชอบมากคือ ไม่ว่าจะผ่านไปเมืองไหน ฉันจะเห็นคนอินเดียอ่านหนังสือพิมพ์ !!! ใช่ค่ะ หนังสือพิมพ์ เราจะเห็นบรรยากาศแบบนี้น้อยมากในประเทศไทย บางคนก็ยืนอ่าน บางคนก็นั่งอ่าน นั่งตากแดดอ่านก็มี จะคิดว่าเขาเซ็ทฉาก สร้างภาพเมืองรักการอ่านให้เราได้ถ่ายภาพ ก็ไม่ใช่แน่ ๆ วัฒนธรรมการอ่านของเขาเข้มแข็งดีจริง ไม่ว่าจะรวย จน เป็นคนจากชนชั้นไหน พวกเขาก็ให้การอ่านเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน การอ่านหนังสือพิมพ์ตอนเช้าจึงเป็นการเพิ่มอาหารให้สมอง ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมอินเดียจึงมีนักคิดระดับโลกหลายคน แม้แต่ในหมู่บ้านเล็กๆ ก็มีครูอาสาจับเด็กๆ ในหมู่บ้านมานั่งเรียนหนังสือ เพิ่มความรู้วิชาเลขและภาษาอังกฤษ เพิ่มอาหารสมองให้เด็กมีเสบียงความรู้ไว้ติดตัว แล้วคนไทยล่ะ???

Incredible เมืองในหมอก

ช่วงที่ฉันเดินทางไปอินเดีย เป็นช่วงปลายฤดูหนาว (28 กุมภาพันธ์ – 9 มีนาคม 2562) อากาศกำลังเย็นสบาย มีหมอกในตอนเช้า ส่วนตอนกลางวันนั้นไม่ร้อนมากนัก แต่แม่ครัวที่วัดเล่าให้ฟังว่าช่วงหน้าร้อนที่อินเดียร้อนจัด แม่ครัวทนอยู่ไม่ไหวต้องหนีร้อนกลับมาประเทศไทย แล้วค่อยบินกลับไปอินเดียใหม่เมื่อเริ่มฤดูกาลแสวงบุญ ฉันว่าจะกลายเป็นหนีร้อนมาเจอร้อนน่ะสิ ทุกวันนี้บ้านเมืองเราก็ใช่ย่อย ร้อนสุดๆ เหมือนกัน

กลับมาเรื่องหมอกตอนเช้าของอินเดียและเนปาล หมอกลงหนามาก มองอะไรแทบจะไม่เห็นเลย ขนาดเวลาแปดโมงครึ่งแล้วยังมีหมอกหนาปกคลุมไปทั่วบริเวณ ส่งผลให้อินเดียและเนปาลกลายเป็นเมืองในหมอกที่โดนมนต์สะกดไว้ มนต์ไอเย็นที่ส่งผลให้ฉันรู้สึกสบายและสงบ แม้จะเหงาๆ บ้างก็ตาม แต่พอสายหน่อยอากาศก็เริ่มอุ่นจนกลับมาร้อนเหมือนเดิม บางวันฉันก็สงสัยนะว่าทำไมอากาศมันแปรปรวนเช่นนี้ ก็คงเหมือนกับอารมณ์ของคน ที่มีขึ้น มีลง แปรเปลี่ยนไปตามสิ่งที่มากระทบใจ อยู่ที่เราจะมองสิ่งที่มากระทบใจนั้นให้เป็นหมอกที่งดงามและเย็นสบายในยามเช้าหรือฝุ่น PM2.5 ที่ทำให้เราระคายผิว หายใจไม่สะดวกเมื่อได้สัมผัสมัน

Incredible ชีวิตอกาลิโก

“อกาลิโก” ในทางพระพุทธศาสนาหมายความว่าพระธรรมของพระพุทธเจ้านั้นให้ผลแก่ผู้ปฏิบัติโดยไม่จำกัดกาลเวลา ฉันชอบคำนี้มาก เลยคิดอุตริเปรียบวิถีชีวิตประจำวันของชาวอินเดียว่าเป็นชีวิตอกาลิโกหรือชีวิตที่ไม่ขึ้นกับกาลเวลา เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็สิ่งที่ฉันเห็นระหว่างเดินทางนั้น หลายสิ่งหลายอย่างเหมือนฉันนั่ง Time Machine ของโดราเอมอน ย้อนไปอดีตเลย ไม่ว่าจะเป็นการซักผ้าและตากผ้าบนพื้น การใช้คันโยกสูบน้ำบาดาลขึ้นมาใช้ การเก็บเศษไม้มาทำฟืน การทูนของไว้บนศีรษะ การใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติ และการแต่งกาย โดยผู้หญิงนิยมใส่ส่าหรี ส่วนผู้ชายจะนิยมใส่เสื้อเชิ้ต ไม่ว่าจะยากดีมีจนก็ใส่เชิ้ตกัน แทบจะไม่เห็นใครใส่เสื้อยืดเลย

นอกจากนี้ ฉันเรียนรู้อย่างหนึ่งว่าถ้าเราต้องติดต่อกับคนอินเดีย เราต้องเผื่อเวลาไว้มาก ๆ ยกตัวอย่าง ตอนตรวจคนเข้าเมือง พวกเราเดินทางถึงสนามบินโกลกาตาเช้ามาก มองดูแล้วไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่ ฉันคิดไปเองว่าน่าจะเสร็จเร็ว แต่เจ้าหน้าที่ใช้เวลาตรวจแต่ละคนนาน เขาจะนั่งดูเอกสารสลับกับมองหน้า พอตรวจเสร็จผ่านไปสักสองสามคน ก็ลุกเดินหายไปโดยไม่บอกอะไร สักพักจึงค่อยเดินกลับมา พอจะถึงคิวน้า ก็ลุกเดินไปดื่มน้ำ แวะคุยกับเพื่อน แล้วจึงเดินกลับมานั่งตรวจเอกสารต่อ แล้วเมื่อไหร่จะถึงคิวฉันเนี่ย ในใจคิดพี่ไม่รีบ แต่น้องรีบนะคะ อยากจะไปเข้าห้องน้ำมาก แต่กลัวออกจากแถวแล้วต้องกลับมาเริ่มต้นรอใหม่อีกครั้ง

Incredible บ้าน วัวและขี้วัวทองคำ

ฉันรู้สึกว่าบ้านเรือนที่อินเดียมองไปทางไหนก็เหมือนยังสร้างไม่เสร็จ เหมือนเป็นบ้านร้าง ไม่มีประตูบ้างล่ะ ไม่มีวงกบบ้างล่ะ ทำเป็นช่องหน้าต่างไว้เฉย ๆ บางที่ก็ก่ออิฐแต่ไม่ฉาบปูน บางที่หลังคาเหมือนมีแผ่นอะไรมาปูแล้วเอาก้อนหินใหญ่ๆ มาทับไว้ ไกด์บอกว่าเป็นเพราะภาษีบ้านเรือนที่อินเดียแพง เลยยังสร้างไม่เสร็จสักทีชาวบ้านจะได้ไม่ต้องจ่ายภาษีเต็มจำนวน ก็แปลกดีนะ ถ้าเป็นแบบนั้นจริง ๆ อันที่จริงฉันเคยดูรายการโทรทัศน์และละครอินเดีย บ้านเรือนเขาก็สวยงาม อลังการนะ ไม่เห็นเหมือนกับโซนที่ฉันไปแสวงบุญเลย

แปลกยิ่งกว่านั้นคือบ้านดิน !!! ใช่ค่ะ บ้านดินที่พวกเราคนไทยเห่อสร้างกันในช่วงสองสามปีหลังมานี้ ใครสนใจทำบ้านดินสไตล์อินเดียเชิญเลยนะคะ คุณจะได้บ้านพร้อมกลิ่นขี้วัวเลยทีเดียว เพราะคนอินเดียใช้ดินผสมขี้วัวเป็นวัสดุในการสร้างบ้านหรือใช้สร้างผนังบ้านดิน บางบ้านใช้ขี้วัวเชื่อมต่ออิฐ และบางบ้านยังนำขี้วัวมาตกแต่งบ้าน ฉันเรียกว่าตกแต่งบ้านได้ไหมเพราะเขาจะปั้นขี้วัวผสมกับใบไม้เศษหญ้าให้เป็นแผ่นวงกลมแล้วแปะลงบนฝาบ้าน แปะบนหลังคาและกำแพง มองไกล ๆ ก็แปลกตาดี บางบ้านก็ปั้นขี้วัวผสมกับใบไม้ทำเป็นแท่งยาว ๆ วางตากแดด ไกด์เล่าว่าขี้วัวตากแห้งเหล่านี้มีราคา เพราะชาวอินเดียนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงและสามารถขายได้ ในที่สุดขี้วัวที่ดูเหมือนจะไร้ค่าก็กลับกลายเป็นขี้วัวทองคำ เนื่องจากเป็นมูลที่มีค่าสามารถนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อได้ แล้วขี้วัวก็ไม่ต้องไปหาให้ลำบากเพราะมองไปทางไหนก็เจอวัวนอนกินหญ้าอยู่หน้าบ้าน เดินกลางถนน นอนขวางทางรถ หรือคุ้ยถังขยะหาเศษอาหารก็มี

อันที่จริงก็ไม่เห็นจะต้องแปลกใจว่าทำไมมองไปทางไหนก็เห็นแต่วัว เพราะวัวกับวิถีชีวิตคนอินเดียเป็นของคู่กัน เนื่องจากวัวเป็นสัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ ความมั่งคั่ง ในสังคมฮินดู พวกเขาไม่ฆ่าวัวเพื่อนำมารับประทานเพราะมองวัวเป็นพาหนะของเทพเจ้า ในขณะเดียวกันพวกเขาก็ใช้ประโยชน์จากวัวได้หลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเลี้ยงวัวเพื่อดื่มนม เลี้ยงเพื่อขาย ใช้วัวไถนา ช่วยขนส่งสินค้าและเดินทาง

ใครจะเชื่อว่า “วัว” ทำให้ฉันเครียดนิด ๆ ก่อนที่ฉันจะเดินทางมาอินเดีย เพราะฉันชอบใช้กระเป๋าหนังวัว เลยเกรงใจถ้าจะสะพายกระเป๋าหนังวัวตะลอนเที่ยวที่อินเดีย สุดท้ายต้องขอยืมกระเป๋าผ้าของแม่มาใช้แทน

Incredible เสียงแตรและพาหนะเดินทาง

การขับรถในประเทศไทยบอกเลยว่าใครที่ว่าแน่ ยังแพ้อินเดียสไตล์นะจ๊ะ
การจราจรที่อินเดียวุ่นวายมาก มีทั้งรถ วัวและคนเต็มถนนไปหมด ขนาดถนนเล็ก ๆ หน้าทางเข้าพุทธคยาฉันยังไม่รู้จะข้ามถนนอย่างไรดี ก็พี่ท่านเล่นขับรถไม่เหยียบเบรกกันเลย ยิ่งไปกว่านั้นคนอินเดียขยันบีบแตรกันจัง จะแซงก็บีบแตร โดนแซงก็บีบแตร จะหลบรถให้ก็บีบแตร รถติดก็บีบแตร เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวาก็บีบแตร ขอทางก็บีบแตร เจอคนรู้จักก็บีบแตรทักทาย แล้วพี่รู้ได้อย่างไรว่าเสียงแตรแบบนี้แปลว่าอะไร น้องล่ะงงจริง ๆ ช่วงแรกก็รำคาญนะ ได้ยินเสียงแตรทั้งวัน แอบงีบในรถแทบไม่ได้เลย พอเคลิ้มใกล้หลับก็สะดุ้งตื่นเพราะเสียงแตร แต่วันหลัง ๆ ก็ชินไปเอง

สำหรับพาหนะเดินทางที่อินเดียมีหลายรูปแบบทั้งรถมอเตอร์ไซค์ รถจักรยาน รถยนต์ รถบัส แต่ถ้าเดินทางระหว่างเมืองจะพบรถบรรทุกมากกว่ารถประเภทอื่น แอบเสียวตรงที่รถโดยสารบางคันมีคนปีนขึ้นไปนั่งบนหลังคารถ เบียดกันแน่น ความปลอดภัยอยู่ตรงไหน ฉันล่ะกลัวตกแทน

Incredible ห้องน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ใครชอบห้องน้ำกว้าง และอยากเข้าห้องน้ำที่ใกล้ชิดกับธรรมชาติ ดื่มด่ำกับพรมหญ้าสีเขียวขจีที่แซมด้วยสีสันของดอกไม้นานาพันธุ์บ้างคะ ถ้าชอบห้องน้ำที่มีวิวราคาหลักล้านแบบนี้ ฉันแนะนำให้มาเที่ยวอินเดียค่ะ แต่ฉันไม่รับประกันนะคะว่าสิ่งที่คุณเห็นจะตรงกับสิ่งที่คุณคิด ห้องน้ำใหญ่ที่สุดในโลกที่ฉันพูดถึงคือการขับถ่ายกลางแจ้งเพราะที่อินเดียการขับถ่ายกลางแจ้งถือเป็นเรื่องปกติค่ะ !!!

เหตุผลแรกที่ทำให้ฉันไม่อยากมาอินเดียก็คือเรื่องห้องน้ำเนี่ยแหละค่ะ ฉันเป็นคนที่มีปัญหาในการเข้าห้องน้ำแปลกที่อยู่แล้ว ขนาดอยู่เมืองไทยแค่ผิดที่ก็ยังลำบากเลย เพราะไม่ชอบเข้าห้องน้ำสาธารณะ พออ่านรีวิวก็มีแต่คนบอกว่าห้องน้ำไม่ค่อยมี ที่มีก็น้อยและไม่สะอาด ส่วนใหญ่จะเข้าห้องน้ำกลางทุ่งกัน เพราะต้องใช้เวลาเดินทาง 7 – 8 ชั่วโมงต่อวัน เนื่องจากสถานที่สำคัญทางพระพุทธศาสนาแต่ละที่นั้นอยู่ห่างกันคนละเมือง
แล้วก็เป็นจริงตามนั้น

ในวันแรกฉันยังทำใจไม่ได้ที่จะเข้าห้องน้ำกลางทุ่ง ฉันเลยทรมานตัวเองโดยไม่ยอมดื่มน้ำตลอดวัน มีจิบน้ำเล็กน้อยตอนรับประทานอาหารกลางวันเท่านั้น แต่น้าสาวและผู้ร่วมเดินทางซึ่งส่วนใหญ่เคยเดินทางมาแสวงบุญแล้วก็เข้าห้องน้ำกลางทุ่งเหมือนคนอินเดียทั่วไป โดยคนขับรถจะหยุดรถเมื่อพบทำเลที่เหมาะจะเป็นห้องน้ำ เขาจะดูชัยภูมิที่หญ้าไม่รก แต่มีจุดบังสายตาไม่ให้คนจากถนนมองเห็น น้าบอกว่า “เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม ใคร ๆ เขาก็ทำแบบนี้กันทั้งนั้น” แต่น้าก็มีอุปกรณ์ช่วยคือน้าจะพกร่มลงไปด้วย ตอนแรกฉันก็งงว่าเอาร่มไปทำไม แล้วก็ถึงบางอ้อ เพราะเอาไปบังไม่ให้คนอื่นเห็นว่ากำลังทำอะไร บางคนก็เอาผ้าถุงลงไปคลุมตัวจนถึงคอ แต่ละคนก็มีเทคนิคแตกต่างกันไป สำคัญที่สุดเวลาเดินต้องก้มดูทาง เพราะอาจจะเหยียบระเบิดที่คณะทัวร์ก่อนหน้านั้นทิ้งซากอารยธรรมไว้ให้ดูต่างหน้าก็เป็นได้

ตั้งแต่วันที่สองของการเดินทาง ไกด์มีกระโจมกางให้กลายเป็นห้องน้ำกลางทุ่งที่มิดชิดกว่าเดิม พอคนแรกเข้าไปทำธุระเสร็จแล้ว คนต่อไปก็จะขยับกระโจมเปลี่ยนที่ไปเรื่อย ๆ ตอนแรกฉันก็ยังไม่กล้าเข้าอยู่ดี แต่วันที่สองยิ่งหาห้องน้ำยากกว่าวันแรก ผลสุดท้ายก็เลยยอมเข้าห้องน้ำกระโจมแบบคนอื่นเขา เพราะมาคิดดูแล้ว ฉันจะทรมานตนเองไม่ดื่มน้ำระหว่างการเดินทางไปทำไม มันไม่ดีต่อสุขภาพในระยะยาว

สุดท้ายแล้วทุกอย่างมันอยู่ที่ใจของเราเอง ที่เราทุกข์เพราะเราอาย เราไม่ได้ดื่มน้ำ เราไม่ได้เข้าห้องน้ำตามที่ใจต้องการ ทั้งหมดเป็นเพราะใจเราไม่ปล่อยวาง แต่พอปลงได้ทุกอย่างก็จบ โล่ง สบายทั้งกายและใจ

รุ่งอรุณริมคงคามหานที

วันที่ฉันเดินทางไปล่องเรือรับอรุณริมฝั่งแม่น้ำคงคา แม่น้ำศักดิ์สิทธิ์ของชาวฮินดู เมืองพาราณสี เป็นวันที่ฉันเหนื่อยมากที่สุด เนื่องจากคืนก่อนหน้านั้นฉันได้นอนเพียงสองชั่วโมง เหตุเพราะรถบัสพาพวกเรามาถึงโรงแรมช้ากว่ากำหนดการเดิมมาก ตอนแรกไกด์คาดการณ์ไว้ว่าพวกเราจะถึงที่พักประมาณสองทุ่ม แต่กว่าพวกเราจะถึงที่พักและได้รับประทานอาหารค่ำก็ปาเข้าไปเกือบตีหนึ่งแล้ว ใจฉันอยากจะเกเรขอนอนตื่นสายรอเพื่อนร่วมทางที่โรงแรมแล้ว แต่ก็นะ อุตส่าห์มาถึงที่แล้วจะพลาดได้อย่างไร แล้วฉันก็ไม่ผิดหวังจริง ๆ

ไกด์ให้พวกเราลงรถบัส และเดินเลาะมาตามทางที่อบอวลไปด้วยสารพัดกลิ่นจนแยกไม่ออกว่าเป็นกลิ่นอะไรบ้าง ขนาดใส่หน้ากากป้องกัน PM 2.5 กลิ่นก็ยังลอดเข้ามาแตะจมูกได้ พอเดินมาถึงฝั่งแม่น้ำคงคา ไกด์ก็ให้พวกเราขึ้นเรือเพื่อที่จะไปชมพิธีอาบน้ำล้างบาป บูชาพระอาทิตย์ ชมการเผาศพริมฝั่งแม่น้ำคงคา ซึ่งเป็นประเพณีโบราณกว่าสามพันปี และชมทัศนียภาพเมืองพาราณสีริมฝั่งแม่น้ำคงคา

พาราณสีเป็นเมืองแรกที่ทำให้ฉันรู้สึกถึงความเป็นเมือง มีตึกรามบ้านช่องขนาดใหญ่สร้างเรียงรายริมแม่น้ำคงคา เมืองนี้เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงสมัยพุทธกาล เนื่องจากเป็นศูนย์กลางศิลปะ วิชาการนานาแขนง และเป็นแหล่งค้าขายสำคัญ แต่ปัจจุบันตึกอาคารขนาดใหญ่ได้ทรุดโทรมลงตามกาลเวลา แต่ยังคงมีเสน่ห์ให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาเยี่ยมชมไม่ขาดสาย ไกด์อธิบายว่าฝั่งที่เป็นตึกขนาดใหญ่สร้างเรียงรายริมแม่น้ำคงคา เรียกว่า ฝั่งสวรรค์ ในขณะที่อีกฝั่งมองไปเห็นเพียงเนินดิน ไม่มีที่พักอาศัย นอกจากเพิงเล็ก ๆ ที่สร้างไว้เหมือนเป็นที่หลบแดดชั่วคราว เรียกว่าฝั่งนรก ฉันฟังไม่ทันว่าเพราะเหตุใดจึงเรียกชื่อกันแบบนั้น แต่ฉันคิดว่าบรรยากาศริมฝั่งน้ำคงคาที่เขาเรียกกันว่าฝั่งนรกนั้น ดูสงบเงียบ สะอาด ไม่วุ่นวายดี

ขณะที่ฉันชมทัศนียภาพสองฝั่งแม่น้ำนี้ ก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัวว่า การเปรียบสวรรค์เป็นสิ่งดีและนรกเป็นสิ่งร้ายเป็นการเปรียบเทียบที่แคบเกินไป เป็นการมองแค่มุมเดียว แต่ในความเป็นจริง ในดีมีร้ายและในร้ายก็มีดีปะปนกันไปเสมอ ดังนั้นไม่ว่าเราจะทำอะไรก็ตาม เราควรมองให้กว้าง อย่ารีบตัดสินอะไร ไม่มีอะไรดีที่สุดและร้ายที่สุด หากเปรียบมนุษย์เป็นสี พวกเราก็คือสีเทาเพียงแต่ว่าจะเป็นเทาเฉดไหนเท่านั้นเอง เมื่อชีวิตมีทั้งดีและร้าย เราก็อย่ายึดติด ควรปล่อยวาง และแก้ปัญหาอย่างมีสติ ให้ความผิดพลาดเป็นเพียงประสบการณ์หนึ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิต เพราะชีวิตของพวกเราสามารถเริ่มต้นใหม่ได้เสมอตราบใดที่เรายังมีลมหายใจ

ดินแดนพุทธภูมิ

แม้ว่าชาวอินเดียส่วนใหญ่จะนับถือศาสนาฮินดู แต่ประเทศอินเดียนี้ครั้งหนึ่งเคยเป็นสถานที่ตรัสรู้ ปฐมเทศนา ปรินิพพานของพระพุทธเจ้า เป็นดินแดนพุทธภูมิที่ชาวพุทธทั่วโลกปรารถนาที่จะมาครั้งหนึ่งในชีวิต

สำหรับฉัน การเดินทางมาอินเดีย – เนปาลครั้งนี้เป็นทริปแสวงบุญ และเป็นทริปล้างใจให้ฉันได้ detox จิต เพราะเป็นการตามรอยบาทพระศาสดา โดยฉันได้นมัสการสังเวชนียสถานทั้ง 4 แห่ง (สถานที่ประสูติ ตรัสรู้ ปฐมเทศนา ปรินิพพาน) เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา รวมทั้งได้ไปเห็นโบราณสถานและเมืองสำคัญสมัยพุทธกาล จนอาจกล่าวได้ว่าฉันหลุดเข้าไปในหนังสือเรียนวิชาพระพุทธศาสนาเลยทีเดียว

การเดินทางครั้งนี้ ทำให้ฉันได้เห็นเส้นทางการเดินทางของพระพุทธองค์ และได้เห็นสภาพความเป็นอยู่ของชาวอินเดียโซนที่ยากจนที่สุดในประเทศ เลยทำให้เข้าใจแล้วว่าเพราะเหตุใด พระพุทธองค์จึงสละความสุขสบาย และค้นพบสัจธรรมของชีวิตที่ให้พวกเราได้ใช้เป็นหลักนำทางชีวิต ทุกสิ่ง เกิดขึ้น ดำรงอยู่ และดับไป ตามกฎของไตรลักษณ์


แสงแรกยามเช้า เจดีย์เกศสริยา ที่บรรจุบาตรพระพุทธเจ้า ณ เมืองไวสาลี
ทางขึ้นเขาคิชฌกูฏ
เขาคิชฌกูฏ
แม่น้ำเนรัญชรา เมืองคยา รัฐพิหาร (แคว้นมคธในอดีต) ที่ไร้น้ำในขณะนี้
กำแพงเมืองกรุงราชคฤห์ เมืองหลวงของแคว้นมคธ เมื่อครั้งพุทธกาล
เมืองราชคฤห์ รัฐพิหาร
หลวงพ่อองค์ดำ รอดพ้นจากการถูกเผาทำลาย

มหาวิทยาลัยนาลันทา

เวฬุวนาราม วัดแห่งแรกในพระพุทธศาสนาที่พระเจ้าพิมพิสารสร้างถวายพระพุทธองค์

ปวรเจดีย์ (ที่ปลงสังขาร)

วังกษัตริย์ลิจฉวี

สถูปบรรจุพระอังคารของพระพุทธองค์ ซึ่งกษัตริย์ลิจฉวีได้รับส่วนแบ่งมาแล้วสร้างเจดีย์บรรจุไว้เพื่อสักการะบูชา และเสาหินอโศก วัดมหาวัน

ปรินิพพานวิหาร ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปางประทับอนุฏฐานไสยาสน์ปรินิพพาน ฝีมือช่างชาวมถุรา อายุกว่าพันปี (สถานที่พระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพาน )

สถานที่ถวายพระเพลิงพุทธสรีระ เมืองกุสินารา

ลุมพินี สถานที่ประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะ

คฤหาสน์อนาถปิณฑิกเศรษฐี ผู้สร้างวัดเชตวันมหาวิหาร

บ้านปุโรหิตบิดาของพระองคุลิมาล

เชตวันมหาวิหาร สถานที่ที่พระพุทธองค์ประทับจำพรรษา 19 พรรษา เหตุการณ์สำคัญในพระพุทธศาสนาเกิดขึ้นที่นี่

สารนาถ สถานที่แสดงปฐมเทศนา “ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร” เกิดพระรัตนตรัยขึ้นเป็นครั้งแรกในโลก

พุทธคยา

ดงคสิริ สถานที่บำเพ็ญทุกรกิริยา
Copyright © 2019. All rights reserved.